แม้ว่างานวิจัยทางด้านประวัติศาสตร์จะเป็นเพียงข้อเท็จจริงส่วนหนึ่งของอดีตก็ตาม ย่อมจะส่งผลมาถึงเหตุการณ์ในปัจจุบัน และอาจมีอิทธิพลไปถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตได้ ดังนั้นการวิจัยเชิงประวัติศาสตร์จึงมีประโยชน์สำคัญดังนี้
1 ทำให้เราทราบสภาพของปัญหาที่เกิดขึ้นในอดีต และเมื่อพบปัญหาที่จะเกิดขึ้นในสภาพเดียวกันนี้เกิดขึ้นอีก
2 ผลการวิจัยเชิงประวัติศาสตร์สามารถนำมาใช้แก้ไขข้อผิดพลาดต่าง ๆ ในปัจจุบันได้ ทั้งนี้เพราะการวิจัยนี้จะพบว่ามีปัจจัยใดบ้างที่เป็นจุดบกพร่อง ซึ่งสามารถนำมาแก้ไขข้อบกพร่องของงานในปัจจุบันได้
3 เนื่องจากความเป็นมาในอดีตเป็นรากฐานของความเป็นอยู่และความเป็นไปในปัจจุบันและส่งผลต่อไปในอนาคตด้วย ดังนั้นการวิจัยเชิงประวัติศาสตร์จึงใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไขสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาวะปัจจุบันได้
4 เพื่อใช้เป็นพื้นฐานของการปฏิบัติงานในปัจจุบัน และเป็นพื้นฐานแก่ผู้ที่จะทำการศึกษาค้นคว้าต่อไป
วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2558
วีธีการทางประวัติศาตร์และหลักฐานทางประวัติศาสตร์
วิธีการทางประวัติศาสตร์ หมายถึง กระบวนการสีบค้นเรื่องราวในอดีตของสังคมมนุษย์ เริ่มต้นที่ความอยากรู้อยากเห็นของผู้ต้องการศึกษาและต้องการสอบสวนค้นคว้าหาคำตอบด้วยตนเอง จากร่องรอยของคนในอดีตได้ทำไว้และตกทอดเหลือมาถึงปัจจุบัน โดยไม่หลงเชื่อคำพูดของใครคนใดคนหนึ่ง หรืออ่านหนังสือเพียงเริ่มใดเล่มหนึ่งแล้วเชื่อว่าเป็นจริง สิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรกของการสืบค้นอดีต เมื่อมีประเด็นที่ต้องการสืบค้นแล้วคือการเก็บรวบรวมข้อมูลจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์อย่างกว้างขวางและละเอียดละออ ด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น สอบถามผู้รู้ ศึกษาเอกสาร เรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ด้วยตนเอง ตรวจสอบข้อมูลจากหลักฐานทุกชนิดด้วยจิตสำนึกว่า หลักฐานไม่ได้บอกความจริงทั้งหมด หรือบอกความจริงเสมอไป แล้วรวบรวมข้อเท็จจริงที่ได้จากนั้นนำเสนอผลที่ศึกษาได้พร้องอ้างอิงหลักฐานให้ชัดเจนเพื่อให้ผู้อื่นตรวจสอบ หรือศึกษาค้นคว้าต่อไปได้
วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
สัปดาห์ที่20 10 อันดับสถานที่มหัศจรรย์ ที่ไม่คิดว่าจะมีในโลก

เกาะโซโคตร้า เป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาเกาะทั้ง 4 ของประเทศเยเมน ในมหาสมุทรอินเดีย เกาะแห่งนี้เป็นเกาะที่แสนสงบและมีภูมิประเทศ ภูมิอากาศเฉพาะตัว ทำให้เหมาะแก่การเติบโตของพืชสายพันธุ์แปลก ๆ ที่หาชมไม่ได้ที่ไหน เพราะมีรูปร่างหน้าตาแปลกประหลาดกว่าพืชชนิดอื่นบนโลก ซึ่งต้นไม้บางต้นคงอยู่บนเกาะนี้มานานกว่า 20 ล้านปีแล้ว จากความงดงามและความแปลกประหลาดของพืชพรรณชนิดต่าง ๆ เหล่านี้เองที่ทำให้เกาะแห่งนี้ดูราวกับเป็นสถานที่บนดาวดวงอื่น และเกาะโซโคตร้าแห่งนี้ก็ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกแล้ว เมื่อเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2008


บ่อน้ำพุร้อนแกรนด์พรีสเมติก เป็นบ่อน้ำพุร้อนที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของโลก ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน สหรัฐอเมริกา ซึ่งสีสันที่แบ่งเฉดเป็นสีน้ำเงินตรงกลางบ่อและสีส้มที่ขอบบ่อนี้เองที่ทำให้สถานที่แห่งนี้งดงามราวกับอยู่ในเทพนิยาย จนไม่คิดว่าจะมีอยู่บนโลกนี้ โดยนักวิทยาศาสตร์ได้อธิบายถึงการแบ่งเฉดสีของบ่อน้ำพุร้อนแห่งนี้ว่า ขอบบ่อที่เป็นสีส้มนั้นเกิดขึ้นจากแบคทีเรียที่เจริญเติบโตอย่างหนาแน่นบริเวณขอบบ่อ เนื่องจากภายในบ่อนั้นอุดมไปด้วยแร่ธาตุและมีอุณหภูมิที่เหมาะสมนั่นเอง


พามุกคาเล เป็นระเบียงบ่อน้ำพุร้อนที่แสนจะงดงามแห่งประเทศตุรกี ซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจากการเกิดแผ่นดินไหวของโลกในอดีต โดยความงดงามสุดวิจิตรของสถานที่แห่งนี้ก็เกิดขึ้นจากบ่อน้ำร้อนที่อุดมไปด้วยแคลเซียมคาร์บอเนต ซึ่งเมื่อน้ำพุร้อนระเหยขึ้นมาเป็นเวลาเนิ่นนาน ไอน้ำก็ทำให้ค่อย ๆ ก่อให้เกิดชั้นของแคลเซียมเกาะบริเวณขอบบ่อจนเกิดเป็นผนังสีขาวขึ้นนั่นเอง
สำหรับคำว่าพามุกคาลานั้นเป็นภาษาตุรกีอันหมายถึง ปราสาทฝ้าย แต่ในอดีตชนเผ่ากรีก-โรมันที่สร้างเมืองอยู่เหนือสระน้ำแห่งนี้ได้เรียกมันว่า เฮราโพลิส อันหมายถึงเมืองศักดิ์สิทธิ์ ด้วยสรรพคุณในการรักษาบำบัดอาการต่าง ๆ ของบ่อน้ำพุร้อนแห่งนี้ ทำให้มันถูกใช้เป็นสปาบำบัดมานานกว่าพันปี แต่ในตอนนี้พามุกคาเลที่ได้รับการจดทะเบียนเป็นมรดกโลกแล้วนั้นได้ปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวลงไปอาบแช่แล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้สถานที่แห่งนี้เกิดความเสียหายขึ้นนั่นเอง


แม่น้ำสีแดง ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศสเปน มีต้นน้ำไหลมาจากภูเขาเซียร์ร่า โมรีน่า โดยสำหรับสีแดงอันเป็นเอกลักษณ์ของมันนั้นเกิดขึ้นจากแร่โลหะชนิดต่าง ๆ ที่อยู่รอบแม่น้ำสายนี้ ไม่ว่าจะเป็นแร่ทองแดง แร่เหล็ก แร่โลหะ และแร่อื่น ๆ ซึ่งทำให้น้ำในแม่น้ำมีความเป็นกรดสูงมากจนเปลี่ยนเป็นสีแดง เกิดเป็นสถานที่สุดแปลกพิลึกและได้กลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวภายในประเทศสเปนในที่สุด


ภูเขาโรไรม่า ตั้งอยู่ในเมืองไรโรม่าของประเทศบราซิล ในอเมริกาใต้ บนพรมแดนที่เชื่อมต่อระหว่าง 3 ประเทศ คือ เวเนซูเอลา บราซิล และกายอานา ซึ่งสิ่งที่ทำให้ภูเขาโรไรม่าได้กลายเป็นสถานที่สุดแปลกของโลกก็คือลักษณะของยอดเขาที่แบนเรียบเหมือนกับพื้นโต๊ะ ราวกับธรรมชาติจับปั้น ล้อมรอบด้วยผาแนวดิ่งสูง 400 เมตร
และสำหรับนักผจญภัยที่ต้องการไต่เขาลูกนี้เพื่อขึ้นไปชมทิวทัศน์บนยอดเขานั้น หนทางที่ดีที่สุดก็คือการไต่ขึ้นบันไดตามธรรมชาติจากผาฝั่งประเทศเวเนซูเอลา แต่สำหรับนักไต่เขาที่ต้องการความท้าทายมากขึ้นนั้น อาจไต่เขาขึ้นจากผาฝั่งประเทศบราซิล และกายอานา ซึ่งไต่ขึ้นไปได้ยากกว่า


ด้วยความงดงามจากการสรรค์สร้างของธรรมชาติที่มีความแปลกไม่เหมือนใครนี้เองที่ทำให้ น้ำพุร้อนสีเลือด หรือ นรกขุมที่เก้าแห่งเบปปุแห่งนี้กลายมาเป็นน้ำพุร้อนที่โด่งดังที่สุดของเมืองเบปปุ จังหวัดโออิตะ บนเกาะคิวชูของญี่ปุ่น ซึ่งสีแดงราวกับเลือดของน้ำพุร้อนแห่งนี้เกิดจากน้ำที่อุดมไปด้วยธาตุเหล็กที่สูงมากนั่นเอง อย่างไรก็ตามเนื่องจากน้ำมีธาตุเหล็กผสมอยู่มากทำให้น้ำพุร้อนแห่งนี้ไม่เหมาะแก่การลงแช่ หรือใช้อาบน้ำ มันจึงถูกใช้เป็นสถานที่ชมวิวไปนั่นเอง


สำหรับสถานที่สุดแปลกบนโลกของเราอีกที่หนึ่งคงจะหนีไม่พ้น ภูเขาช็อกโกแลต แห่งเกาะโบโฮล สถานที่ท่องเที่ยวอันโด่งดังของประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งภูเขานับ 1,268 ลูกที่เรียงรายอยู่นั้นมีลักษณะเป็นรูปทรงกรวยคว่ำเหมือนกัน ทั้งยังมีขนาดที่ใกล้เคียงกันในช่วงความสูงตั้งแต่ 30-50 เมตร อย่างไรก็ดีสำหรับชื่อภูเขาช็อกโกแลตของสถานที่แห่งนี้ มีที่มาจากสภาพของต้นหญ้าสีเขียวที่ขึ้นคลุมภูเขาแต่ละลูกจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลในฤดูแล้ง
นอกจากนี้ ในประเทศฟิลิปปินส์ยังได้มีตำนานหนึ่งที่เล่าถึงต้นกำเนิดของภูเขาช็อกโกแลตด้วยว่า ภูเขาเหล่านี้เป็นสิ่งที่หลงเหลือจากการต่อสู้กันระหว่างยักษ์ทั้ง 2 ตัว ซึ่งยักษ์ตัวหนึ่งได้ล้มตายจากการต่อสู้นั้น ยักษ์ที่เป็นคู่รักของมันจึงได้ร้องไห้จนหยดน้ำตาหล่นร่วงบนพื้นดินแล้วเกิดเป็นภูเขาแต่ละลูกนั่นเอง


ซาลาร์ เดอ ยูยูนิ เป็นทะเลเกลือที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยพื้นที่ถึง 10,582 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของโบลิเวีย ใกล้ยอดของเทือกเขาแอนดีส ซึ่งชั้นเกลือของสถานที่แห่งนี้เป็นคราบเกลือที่หลงเหลือมาจากยุคก่อนประวัติศาสตร์ ที่มีความหนาเป็นเมตร ทำให้ชั้นเกลือเหล่านี้สามารถรองรับน้ำหนักของรถที่แล่นผ่านทะเลเกลือแห่งนี้ได้โดยไม่แตก และนักท่องเที่ยวก็สามารถเดินไปบนชั้นเกลือเหล่านี้เพื่อชื่นชมกับทัศนียภาพสุดอัศจรรย์ของมันได้
สำหรับภาพที่งดงามที่สุดของทะเลเกลือแห่งนี้จะเกิดขึ้นในช่วงฤดูฝน ที่ทะเลเกลือจะถูกปกคลุมไว้ด้วยผืนน้ำซึ่งจะสร้างภาพสะท้อนของผืนฟ้าอย่างงดงาม ชนิดที่เราสามารถเห็นฟ้าจรดฟ้าได้เลยทีเดียว


ทะเลสาบโมโน แห่งรัฐแคลิฟลอเนีย สหรัฐอเมริกาเป็นทะเลสาบที่ไม่มีทางออกสู่มหาสมุทร ทำให้น้ำในทะเลสาบมีความเค็มอยู่มาก ซึ่งปริมาณเกลือในทะเลสาบแห่งนี้เองที่ก่อให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมแก่การเจริญเติบโตของบรรดากุ้ง ในทุก ๆ ฤดูจึงมักจะมีฝูงนกนับพันตัวบินถลาลงมาหากุ้งกินเป็นอาหาร และด้วยความสวยงามของธรรมชาติที่ผสานกับระบบนิเวศเล็ก ๆ นี้เองที่ทำให้ทะเลสาบแห่งนี้ได้ถูกจัดให้อยู่ในทำเนียบสถานที่สุดแปลกของโลก


ประตูนรก แห่งเติร์กเมนิสถาน เป็นหนึ่งในสถานที่ที่รวมไว้ทั้งความแปลกและความน่ากลัว จากสภาพหลุมขนาดยักษ์ ลึกกว่า 70 เมตร ที่มีเปลวเพลิงลุกท่วมตลอดเวลา จนดูราวกับประตูสู่ขุมนรกที่ร้อนระอุ สำหรับประตูนรกแห่งนี้เดิมทีเป็นเหมืองร้างซึ่งมีหลุมขนาดใหญ่ที่มีก๊าซพวยพุ่งออกมา ใน ค.ศ. 1971 คนงานของเหมืองรายหนึ่งจึงตัดสินใจจุดไฟเผาไหม้ก๊าซในหลุม โดยหวังว่าเมื่อก๊าซถูกเผาจนหมด เปลวไฟนั้นจะมอดดับไปเอง โดยที่เขาไม่ทราบเลยว่าแม้เวลาจะผ่านล่วงเลยมานานหลายปี เปลวไฟที่ลุกท่วมหลุมประตูนรกนี้จะยังคงลุกโชนไม่รู้ดับต่อไป

สัปดาห์ที่19 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคปัจจุบัน
เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ หรือเดิมคือ เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคปัจจุบัน จัดทำขึ้นโดยองค์กรของสวิตซ์ The New Open World Corporation (NOWC) ซึ่งผลสรุปสุดท้ายได้ประกาศเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 ที่กรุงลิสบอน ประเทศโปรตุเกส
1. เมืองโบราณซีเชน อิตซา ของชนเผ่ามายา ในเขตยูคาทาน เม็กซิโก

2. รูปปั้นพระเยซูคริสต์ หรือคริสต์ รีดีมเมอร์ บนยอดเขาในนครริโอ เดอ จาเนโร ของบราซิล
รูปปั้นพระเยซูคริสต์ ตั้งอยู่บนยอดเขาโคคาวาดู ( Cocarvado ) กรุงริโอ เดอ จาเนโร ( Rio de Janero ) ประเทศบราซิล มีความสูงราว 38 เมตร สร้างในปีค.ศ. 1921ได้รับการออกแบบโดยไฮตอร์ ดา ซิลวา กอสตา( Heitor da Silva Costa )ชาวบราซิล และสร้างโดยพอล ลันดอฟสกี ( Paul Landowski ) ประติมากรชาวฝรั่งเศสเชื้อสายโปแลนด์ ใช้เวลาในการสร้าง 5 ปี โดยทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 12 ตุลาคม 1926 ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปยังฐานของรูปปั้นเพื่อชมทิวทัศน์ของเมืองริโอ เดอ จาเนโรได้
3.กำแพงเมืองจีน (ติดโผครั้งที่ 2 จากยุคกลาง)

4. เมืองโบราณมาชูปิกชู ของชนเผ่าอินคา ในเปรู
มาชู พิคชู หรือนครสาบสูญแห่งอินคา ( The Lost City of the Incas ) เป็นเมืองโบราณที่ตั้งอยู่บนภูเขาในประเทศเปรู อยู่สูงจากระดับนำทะเลถึง 2,350 เมตร มาชู พิคชูสร้างโดยจักรวรรดิ์อินคา และถูกทิ้งร่างเมื่ออินคาพ่ายแพ้แก่ชาวสเปน จนกระทั่งถูกค้นพบโดยนักสำรวจชาวอเมริกันชื่อ ฮิราม บิงแฮม ( Hiram Bingham ) ในปีค.ศ. 1911
5. เมืองโบราณเพตรา ในจอร์แดน

6. สนามกีฬาโคลอสเซียมในกรุงโรมของอิตาลี

7. ทัชมาฮาล ในเมืองอักรา ประเทศอินเดีย

ทั้งนี้ สถานที่ทั้ง 7 แห่งได้รับการคัดเลือกจากประชาชนทั่วโลกร่วม 100 ล้านคน เป็นผู้ร่วมโหวตในอินเตอร์เน็ต ผ่านทางเว็บไซต์www.new7wonders.com และผ่านระบบข้อความสั้น หรือเอสเอ็มเอสของโทรศัพท์ มือถือ
สัปดาห์ที่18 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง
สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง
(อายุตั้งแต่ คริสตศตวรรษที่ 5 - คริสตศตวรรษที่ 16 ) สิ่งมหัศจรรย์ของโลกสมัยกลาง ถูกจัดขึ้นมาและเป็นที่ยอมรับกันแพร่หลาย ต่อมาหลังจากมีการตั้งข้อสังเกตว่า 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกสมัยโบราณแทบทั้งหมด ยกเว้นพีระมิดล้วนแต่เสื่อมโทรมเสื่อมสลายไปหมดสิ้น เหลือเพียงร่องรอยหลักฐาน หรือแบบจำลองเท่านั้น สิ่งมหัศจรรย์ของโลกสมัยกลาง ล้วนแต่ยังดำรงอยู่เป็นหลักฐานให้ศึกษากันในปัจจุบัน ถึงแม้จะเสื่อมโทรมไปบ้างตามกาลเวลา สำหรับคำว่า สมัยกลาง ของ 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกสมัยกลาง มีความหมายเพียงเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคถัดมาจากยุคโบราณเท่านั้น
1.หอเอนเมืองปีซา ประเทศอิตาลี (The Leaning Tower of Pisa)
หอเอนเมืองปีซา ตั้งอยู่ที่เมืองปีซา ประเทศอิตาลี เป็นหอทรงกระบอก 8 ชั้น สร้างด้วยหินอ่อนสูง 181 ฟุต เริ่มสร้างเมื่อค.ศ. 1174 แต่การก่อสร้างต้องหยุดชะงักลงเมื่อก่อสร้างไปได้ประมาณ 4-5 ชั้น เนื่องจากพื้นดินใต้อาคารเริ่มยุบลงจากการที่รากฐานของอาคารไม่มั่นคงพอ อย่างไรก็ตามต่อมาได้มีการก่อสร้างเพิ่มเติมจนเสร็จสิ้นเรียบร้อยเมื่อปีค.ศ. 1350 ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงบางส่วนของโครงสร้างด้านบนไปจากแผนผังเดิมเพื่อถ่วงดุลกับการเอียงของหอ โดยรวมระยะเวลาก่อสร้างทั้งสิ้น 176 ปี แต่ตัวหอก็ยังเอนไปจากแนวตั้งฉากถึง 14 ฟุตปัจจุบันนี้ได้ปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปชมข้างบนแล้ว เนื่องจากว่าหอจะเอนลงเรื่อยๆ ซึ่งบรรดาวิศวกรกำลังหาทางที่จะหยุดยั้งการเอนและอนุรักษ์ให้มีสภาพเอียงไว้ให้อนุชนรุ่นหลังได้ชมไปอีกนานๆ สำหรับหอเอนปิซานี้ภายในมีเสาหินอ่อนที่สลักลวดลายด้วยฝีมือจิตรกรชื่อดังแห่งยุคได้สลักลวดลายไว้สวยงามมาก ณ ที่หอเอนปิซาแห่งนี้เป็นที่ที่กาลิเลโอขึ้นไปทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับแรงดึงดูดของโลก
2. สนามกีฬาโคลอสเซียมในกรุงโรมของอิตาลี (The colosseum of Rome)

3.กำแพงเมืองจีน ประเทศจีน (The Great Wall of China)

4.กองหินประหลาดสโตนเฮนจ์ เมือง ซัลลิสเบอรี่ ประเทศอังกฤษ (Stonehenge)

5.สุสานแห่งอเล็กซานเดรีย (คาตาโคมป์) เมืองอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์ (The Catacombs of Alexandria)

6. สุเหร่าเซนต์โซเฟีย เมืองคอนสแตนดิโนเปิล ประเทศตุรกี (The Mosgue of Hagia Sophia)

7.เจดียกระเบื้องเคลือบเมืองนานกิง ประเทศจีน (The Porcelain Tower of Nanking)

สัปดาห์ที่17 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ
สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ(อายุตั้งแต่ 5,000 ปี ก่อนคริสต์กาล - ค.ศ. 500 )ประมวลและจัดโดยนักปราชญ์กรีก ชื่อ แอนติเพเตอร์( Antipater ) แห่งไซดอน ( Sidon )ในศตวรรษที่สองก่อน ค.ศ. สิ่งมหัศจรรย์ของโลก 7 อย่าง สมัยโบราณเป็นผล งานของมนุษย์ทางด้านวิศวกรรม สถาปัตยกรรมและศิลปะชวนพิศวง จากยุคสมัยแรกเริ่มอารยธรรมของโลกในแถบลุ่มแม่น้ำไนล์ ในอียิปต์ ถึงยุคความรุ่งเรืองของอารยธรรมกรีกโบราณและยุคสมัยอาณาจักรโรมันเรืองอำนาจ
1.พีระมิดอียิปต์ (The Pyramids of Egypt)

พีระมิดอียิปต์เป็นสิ่งมหัสจรรย์ยุคโบราณเพียงสิ่งเดียวที่ยังคงสภาพเกือบสมบูรณ์เหมือนใน อดีต ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไนล์ ณ เมืองกีเซ (Giza) ตอนเหนือของกรุงไคโร เมืองหลวงของอียิปต์ ประกอไปด้วยพีระมิดใหญ่ 3 องค์ คือ พีระมิดที่บรรจุพระศพของฟาโรห์คีออปส์ (Cheops) คีเฟรน (Chephren) และไมเซอริมุส (Mycerimus) พีระมิดคีออปส์เป็นพีระมิดที่ใหญ่ที่สุด สร้างขึ้นมาเมื่อประมาณ 3500 ปีก่อนคริสต์ศักราช เดิมสูงถึง 481 ฟุต แต่ปัจจุบันลดลงเหลือ 450 ฟุต ฐานของพีระมิดครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 32.5 ไร่ ( 13 เอเคอร์ ) สร้างขึ้นโดยการใช้หินทรายตัดเป็นแท่งสี่เหลี่ยมก้อนละประมาณ 2.5ตัน ถึง 30 ตัน โดยใช้หินทั้งหมดกว่า 2.3 ล้านก้อน ใช้แรงงานทาสและกรรมกรในการก่อสร้างประมาณ 100,000 คน ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 20 ปี สำหรับพีระมิดคีเฟรนหรือพีระมิดรูปสฟิงซ์ซึ่งเป็นคนครึ่งราชสีห์ โดยมีใบหน้าเป็นคนมีตัวเป็นราชสีห์อยู่ในท่าหมอบเฝ้าหน้าพีระมิดคีออปส์สูงประมาณ 66 ฟุต
2.ประภาคารฟาโรสแห่งอเล็กซานเดรีย (The Pharos (Lighthouse) of Alexandria)

3.สวนลอยแห่งบาบิโลน (The Hanging Garden of Babylon)
สวนลอยแห่งบาบิโลนตั้งอยู่บนริมฝั่งแม่น้ำยูเฟรติส บนผืนแผ่นดินของประเทศอิรักในปัจจุบัน สวนลอยบาบิโลนเป็นสิ่งก่อสร้างมหัศจรรย์ที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ที่ 2 (Nebuchadnezzar II) แห่งกรุงบาบิโลเนียทรงดำริให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นอุทยานพักผ่อนแด่พระมเหสีของพระองค์ เมื่อประมาณ 600 ปีก่อนคริสต์ศักราช สวนลอยที่สร้างบนพื้นดินกึ่งทะเลทรายนี้มีลักษณะเป็นชั้นลดหลั่นกันขึ้นไปสูงประมาณ 75 ฟุต บนพื้นที่ 400 ตารางฟุต ระเบียงของแต่ละชั้นได้รับการตกแต่งด้วยการปลูกไม้ดอก ไม้พุ่ม และไม้ยืนต้นต่างๆ โดยมีระบบชลประทานชักรอกน้ำจากแม่น้ำยูเฟรติสขึ้นไปสู่ชั้นบนสุด เพื่อปล่อยให้ไหลลงมายังชั้นต่างๆ สร้างความชุ่มชื้นให้แก่ต้นไม้ตลอดทั้งปี ส่วนผนังแต่ละด้านประดับประดาด้วยกระจกสีอย่างสวยงาม ปัจจุบันสวนลอยบาบิโลนได้พังทลายสูญหายไปหมดแล้ว
4.สุสานมุสโซเลียมแห่งฮาลิคานาสซัส (The Mausoleum at Halicarnassus)
สุสานมุสโซเลียม สร้างขึ้นโดยพระนางอาเตมีเชีย พระมเหสีของกษัตริย์มุสโซลุส (Mausolus) แห่งคาเรีย เพื่อเป็นที่ฝังพระศพของกษัตริย์มุสโซลุสหลังจากที่พระองค์สวรรคตเมื่อประมาณ 353 ปีก่อนคริสต์ศักราช ตั้งอยู่ที่เมืองฮาลิคานาสซัสหรือเมืองซาเรีย ในประเทศอิหร่านปัจจุบัน ตัวสุสานสูงประมาณ 135 ฟุต ความยาวฐานโดยรอบ 460 ฟุต สร้างด้วยหินอ่อนล้วน หลังคาชั้นบนสุดเป็นฐานสี่เหลี่ยมมีรูปแกะสลักของพระเจ้ามุสโซลุสประทับราชรถเทียมม้าอย่างสง่างาม แต่ต่อมาราวคริสต์ศตวรรษที่ 12 - 13 ได้เกิดแผ่นดินไหวขึ้น ทำให้สุสานพังทลายลงมา ปัจจุบันจึงคงเหลือแต่ซากปรักหักพังบางส่วนที่พิพิธภัณฑ์แห่งอังกฤษเก็บอนุรักษ์ไว้ให้อนุชนรุ่นหลังศึกษากันต่อไป
5.อนุสาวรีย์โคโลสซูสแห่งเกาะโรดส์ (The Colossus of Rhodes)
อนุสาวรีย์โคโลสซูสหรือเทพเจ้าอพอลโล (Apollo) เป็นเทวรูปที่หล่อขึ้นด้วยทองคำสำริดในท่ายืน ตั้งอยู่ที่เมืองโรดส์ ประเทศกรีซ สูงประมาณ 120 ฟุต สร้างขึ้นมาเมื่อประมาณ 300ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยกษัตริย์ชาเรสแห่งลินดุส (chares of Lindus) ใช้เวลาในการก่อสร้างประมาณ 12 ปี แต่พังทลายลงหลังจากก่อสร้างได้ประมาณ 60 ปี เนื่องจากเหตุแผ่นดินไหวเมื่อ 224 ปีก่อนคริสต์ศักราช และไม่ได้รัการบูรณะซ่อมแซมเป็นเวลาประมาณ 900 ปี จนกระทั่งในราวคริสต์ศตวรรษที่ 10 ชาวเมืองซาราเซนส์ได้ทำการซื้อเศษทองสำริดของอนุสาวรีย์ เพื่อนำไปหล่อทำอาวุธสงครามจนหมดสิ้น เทวรูปขนาดใหญ่ยืนคร่อมปากอ่าวให้เรือลอดผ่านไปมาแห่งนี้ จึงไม่เหลือแม้แต่เศษชิ้นส่วนของความยิ่งใหญ่ไว้เลย
6.วิหารไดอานา (อาร์เทมิส) แห่งเมืองเอฟิซูส (The Temple of Diana (Artemis) at Epesus)
วิหารไดอานา ตั้งอยู่ที่เมืองเอฟิซูส ประเทศกรีซ สร้างขึ้นด้วยหินอ่อนเมื่อประมาณ 550 ปีก่อนคริสต์ศักราช ตัววิหารกว้าง 160 ฟุต ยาว 342 ฟุต ด้านกว้างมีเสาหินอ่อนเรียง 8 ต้น ด้านยาวเรียง 20 ต้น เสาแต่ละต้นสูง 60 ฟุต เส้นผ่าศูนย์กลาง 6 ฟุต หลังคาทำด้วยไม้มุงกระเบื้องหินอ่อน ขนาดของวิหารครอบคลุมพื้นที่ 54,720 ตารางฟุต เป็นวิหารที่สวยงามมาก เชื่อกันว่าสร้างขึ้นเพื่อถวายแด่เทพธิดาอาร์เทมิสผู้เสด็จลงมาจากสรวงสรรค์เพื่อช่วยชาวเมืองให้พ้นจากภัยพิบัติและความหายนะทั้งปวง วิหารไดอานาได้รับการบูรณะซ่อมแซมเมื่อปี ค.ศ. 186 เนื่องจากถูกไฟไหม้ แต่ปัจจุบันเหลือแต่ซากโครงร่างที่ยังคงงดงามให้ได้ศึกษากันต่อไป
7.อนุสาวรีย์เทพเจ้าซีอุส (จูปีเตอร์)แห่งโอลิมเปีย (The Statue of Zeus (Jupeter) at Olympia)
อนุสาวรีย์เทพเจ้าซีอุสหรือจูปีเตอร์แห่งเมืองโอลิมเปีย ประเทศกรีซ สร้างขึ้นโดยปฎิมากรนามว่า ฟีดีอัส ในช่วงเวลาระหว่าง ค.ศ. 53-111เป็นอนุสาวรีย์สลักด้วยงาช้างรูปเทพเจ้าซีอุสประทับนั่งบัลลังก์ สูงประมาณ 40 ฟุต พระหัสถ์ขวาถือรูปจำลองเทพแห่งชัยชนะ (A Small Figure of Victory) พระหัสถ์ซ้ายถือคธา ฉลองพระองค์และเครื่องประดับทำด้วยทองคำล้วน ชาวกรีกโบราณให้ความเคารพนับถือว่าเป็นเทวรูปศักดิ์สิทธิ์องค์หนึ่ง แต่ปัจจุบันได้พังทลายสูญหายไปหมดเนื่องจากแผ่นดินไหว ยังคงมีหลักฐานเหลือไว้แต่เพียงในภาพวาดและในเหรียญโบราณเท่านั้น
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)