สรรพสิ่งทั้งหลายล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นคำที่ผมโปรยเอาไว้บนปกของสื่อสัจธรรมชุด วิญญาณหลงทาง เป็นประโยคที่ใช้อธิบายรหัสนัยแห่งพระนิพพานได้อย่างชัดเจน
ก็ในเมื่อทุกอย่างไม่มีอะไรเป็นตัวตนอยู่แล้ว อนัตตาอยู่แล้ว มันจะมีตัวเราตัวเขาขึ้นมา แปลกแยกแตกต่างกับสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงได้ไหมเล่า มันก็ไม่มี
ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่ตรงต่อเนื้อหานิพพาน มันก็จะไม่หลงไปขัดแย้งกับสรรพสิ่งทั้งปวงไปเอง หมดความอึดอัดขัดเคืองในสิ่งต่างๆไปเอง
พูดมาแบบนี้อาจจะมีคนแย้งว่า อ้าวแล้วที่บอกปฏิบัติธรรมผิดนั่นก็หลงขัดแย้งหรือเปล่า
แบบนี้ไม่ได้หลงขัดแย้งครับ การปฏิบัติธรรมโดยเอาตัณหานำเพื่อให้ได้นิพพานนั้นผิดจริง ผิด "ธรรม" เต็มประตู เพราะการปฏิบัติธรรมนั้นเป็นกรรม จะเกิดกรรมได้ก็ต้องมีอัตตาตัวตนเป็นเจ้าภาพ ซึ่งเมื่อใดที่เกิดอัตตาตัวตนขึ้นมามันก็จะหลงขัดแย้งกับสรรพสิ่ง สรรพธาตุ สรรพธรรมทั้งหลายที่มันไม่มีตัวตนเราเขาอยู่แล้วตลอด
คืออัตตามันจะทำให้หลงแบ่งแยกให้เกิดเป็นตัวเราและมีสรรพสิ่งอื่นๆที่ไม่ใชตัวเราขึ้นมา เมื่อเกิดการแบ่งแยกกับสรรพสิ่งทั้งหลายขึ้นก็เริ่มหลงไปขัดแย้ง พอหลงไปขัดแย้งก็หลงว่าขัดเคือง แล้วก็หลงไปดิ้นรนไปแสวงหาสิ่งที่จะทำให้ธาตุและสภาวะที่เรายึดว่าเป็นตัวของเราได้สบายขึ้น หลงสนองตัณหา หลงสนองกิเลสตัวเอง ไม่รู้จบ แต่กรรมทุกอย่างที่สรรพสัตว์ทั้งหลายทำมันก็จะโมฆะไปเองอยู่แล้ว และก็ไม่มีใครได้อะไรจากสังสารวัฏจริงแม้แต่คนเดียว
ก็ในเมื่อพระพุทธเจ้าท่านก็บอกอยู่แล้วว่า ธรรมทั้งหลายทั้งปวงนั้นเป็นอนัตตา แล้วจะเอา "ใคร" ไปปฏิบัติธรรม หรือเอา"ใคร" ไปได้ไปเสียอะไรเล่า มันหลงไปเองทั้งนั้น
ส่วนผู้ที่หลงไปแล้ว ก็ยังเป็นหนึ่งเดียวกันกับทุกสรรพสิ่งอยู่ ไม่มีการแบ่งแยก เพราะธรรมนั้นไม่เคยแบ่งแยกอะไร เป็นธรรมหนึ่งเดียวตลอดชั่วนิรันตร์ เพียงแต่ผู้นั้นหลงไปเองว่ามีตัวตนเราเขา มีนามมีรูป หลงไปว่ามีธรรมคู่ ทั้งๆที่ทุกอย่างล้วนเป็นธรรมเอกหรือธรรมหนึ่งอยู่แล้วตลอด
ธรรมที่คนหมู่มากศึกษาร่ำเรียนและปฏิบัติกันอยู่นั้น มันเป็นโลกียธรรม คือธรรมอันเกิดจากการเอาโลกียวิสัยเข้าไปตีความ (เป็นอัตตโนมัติ เป็นโมหะทิฏฐิในธรรม) เข้าไปปฏิบัติ (เป็นกรรมซ้อนสภาวะธรรม) เป็นความหลงเข้าไปแตกแยกขัดแย้งกับ "ธรรม" ซึ่งเป็นหนึ่งเดียวกันเสมอ หลงเข้าไปทำโน่น ทำนี่เพื่อที่จะเข้าถึงสภาวะนิพพาน ซึ่งมันผิดตั้งแต่การใช้บัญญัติแล้ว จะเข้าจะออกนิพพานอะไร มันไม่ใช่ มันนิพพานอยู่แล้ว พอบัญญัติชี้นำผิดๆ มันก็จะให้ภาพนิพพานที่ผิดไปด้วย เรียกว่าผิดตั้งแต่ต้นทางคือบัญญัติ ความเข้าใจก็เลยผิดตาม ทีนี้สรรพสัตว์ทั้งหลายก็เลยหลงทางไปในโมหะทิฏฐิอันวกวนหาจุดจบไม่เจอ
ยิ่งสมัยนี้อินเตอร์เน็ตและ social network ยิ่งทำให้เส้นทางวกวนในโมหะของผู้คนขยายออกไปไม่รู้จบด้วยการ "ช่วยกันเผยแพร่" นี่แหละ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเผยแพร่อะไรออกไปบ้าง ใช่เนื้อหาจริงๆหรือเปล่า
โลกียธรรมที่เราเห็นกันดาษดื่นจึงมีแต่ธรรมที่หลงตัดแต่งพันธุกรรมออกมาแล้ว คือตัดต่อออกมาเป็นเรื่องๆเป็นอย่างๆ แล้วก็ไปแยกฝึกทำฝึกปฏิบัติทีละอย่าง กลายเป็นภาระและสับสนในการใช้งานอีก ทั้งๆ ที่ธรรมแท้ๆนั้นไม่เคยเป็นภาระให้ใคร มีแต่จะปลดเปลื้องภาระให้อย่างเดียว
แต่เมื่อใดที่เข้าถึงเนื้อหาโลกุตรธรรมแล้ว มันก็จะไม่มีหลงการแบ่งแยกเป็นเราเขา นามรูป หรือธรรมคู่ จะแจ้งไปเองว่าสรรพสิ่งทั้งหลายล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน ส่วนที่ยังดำรงธาตุขันธ์ กายใจอยู่นั้นก็เป็นเพียงธาตุธรรมที่หยิบยืมมาใช้ชั่วคราวเท่านั้น ซึ่งสุดท้ายก็จะเสื่อมไปโดยตัวมันเองอยู่แล้ว
ถ้าใครคิดว่าธรรมคู่มีจริง ลองตอบคำถามต่อไปนี้ครับ
ร่างกายของคุณเสื่อมโดยตัวมันเองไหม?
อารมณ์ต่างๆของคุณเดี๋ยวมันก็ผ่านไปใช่หรือไม่?
คุณบังคับใจตนเองได้ไม่ตลอดใช่ไหม?
คุณบังคับความคิดของตนเองได้ 100% หรือไม่?
เห็นอะไรไหมครับ?
สภาวะต่างๆล้วนแล้วแต่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือแปลเป็นไทยร่วมสมัยได้ว่า ทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว เสื่อมไปโดยตัวมันเองอยู่แล้ว ไม่มีอะไรเป็นตัวตนอยู่แล้ว
ทุกสภาวะมันวูบไหวผ่านไปไม่มีแก่นสารอะไร ที่มีแก่นสารขึ้นมาได้ก็เพราะเราไปตอกย้ำมัน พอตอกย้ำก็เป็นอัตตาตัวตนขึ้นมาซ้อนในสภาวะธรรมทั้งหลายที่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอยู่แล้ว แล้วมันก็เป็นกรรม
แต่กรรมที่ว่านี่ก็อยู่ใต้กฏไตรลักษณ์ไง พอกรรมมันคลายตัวเองมันก็มาในรูปวิบาก คือมันวิ่งกลับคืนให้ต้นทางของแรงกรรมเพื่อคืนพลังงานกรรมเดิมให้จิตดวงนั้น จะได้ "เจ๊า" กับกรรมที่เคยทำเอาไว้ตามสมการ แรงกระทำ = แรงสะท้อน
แล้วโมหะก็เหมือนกัน โมหะมันก็ไตรลักษณ์เหมือนกัน หลงได้ก็หมดหลงได้ ขนาดจิตไปเสวยอารมณ์จบแล้วมันก็ดับไปเหมือนกัน ไม่ว่าสุข หรือ ทุกข์ ดี หรือ เลว ก็อยู่ภายใต้ไตรลักษณ์ ซึ่งก็คือ "ธรรมหนึ่ง" เหมือนกัน แล้วทีนี้ถามว่า "ธรรมคู่" ที่สอนกันทั่วบ้านทั่วเมืองน่ะมาจากไหน
ก็หลงไปน่ะสิครับ มันถึงมีธรรมคู่ขึ้นมา!!!
ธรรมทุกอย่างในโลกธาตุและสังสารวัฏนี้ล้วน เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา เสื่อมไปโดยตัวมันเอง และไม่มีอะไรเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว เมื่อเป็นแบบนี้ พอ "หลง"เข้าไปยึด พยายามที่จะยึด สุดท้ายมันก็ยึดไม่ได้ มันก็ทุกข์ขึ้นมา พยายามยึดเข้าไปเถอะครับ สภาวะธรรมทั้งหลายนั่นแหละ ยึดไม่ได้ทั้งนั้น แต่ที่พูดนี่ไม่ได้ให้ปล่อยหรืออะไรนะครับ ไม่ต้องหลงไปปล่อย ไปวางอะไรอีก
ก็ฟังสัจธรรมความเป็นจริงให้มันแจ้งแก่ใจว่า ธรรมทั้งหลายทั้งปวงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอยู่แล้ว มันนิพพานอยู่แล้วตลอด ไม่ว่าเราจะทำอะไรหรือไม่ทำอะไร จะปฏิบัติธรรมหรือไม่ปฏิบัติธรรม ไม่ว่าความสุขหรือทุกข์ของเราก็เหมือนกัน มันนิพพานอยู่แล้วตลอด เพียงแต่เราหลงไปเองทั้งนั้น ที่หลงไปปฏิบัติก็เหมือนกัน มัวแต่หลงไปปฏิบัติกรรมกันอยู่นั่นมันก็เลยเป็นอัตตาไปหน้าเรื่อย กรรมที่เกิดจากการปฏิบัติก็บังนิพพานไปเรื่อย อย่างนี้มันจะเจอหรือนิพพานน่ะ
ก็แค่ "หยุด" เท่านั้นเอง องคุลิมาลท่านก็ "หยุด" แล้วจึงบรรลุเป็นพระอรหันต์ แต่ท่านทั้งหลายที่ปฏิบัติธรรม ปฏิบัติกรรมอยู่นั่นน่ะ จะ"หยุด" ตัวเองในอะไรๆได้หรือยัง จะได้แจ้งตรงต่อเนื้อหานิพพานเสียที หยุดปั๊บนั่นแหละ นิพพานทันที ไม่ต้องรอให้ใครประกาศผล รู้ได้เองเลย
และต่อให้หลงเอาตัวเองไปปฏิบัติกันจนตายยังไงนะ สุดท้ายก็ต้องหยุดเหมือนกันหมดครับ ถ้าไม่เกิดปัญญาจนหยุดได้เอง สักวันหนึ่งมันก็จะเหนื่อยขาดใจก็หยุดเองนั่นแหละครับ
เพราะไอ้ความเป็น "เรา" ที่ไปปฏิบัติธรรม เพื่อให้"เรา" พ้นทุกข์น่ะ มันก็จะเสื่อมไปโดยตัวของมันเองเหมือนกันทั้งนั้น หยุดต่อกรรมเมื่อไหร่นั่นแหละจบ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น